ขอแสดงความเสียใจและอาลัยยิ่ง
แนะนำหอประวัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

จดหมายเหตุมหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีเป็นมหาวิทยาลัยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นับเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของประเทศแห่งแรกในปี พ.ศ. 2533 มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการตามแนวทางและเป้าหมายครบ 10 ปี โดยในทศวรรษแรก มหาวิทยาลัยมีความก้าวหน้าเป็นอย่างดีและมีประวัติอันยาวนานเป็นภูมิหลังในการก่อตั้งมหาวิทยาลัย การพัฒนาระบบตลอดจนความสำเร็จจากการดำเนินการตามภารกิจต่างๆดังนั้นควรรวบรวมเรื่องราวอันมีค่าเหล่านี้อย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ เพื่อแสดงให้สังคมเห็นถึงพัฒนาการของการดำเนินงานและความสำเร็จของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีในฐานะต้นแบบของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ด้วยเหตุนี้มหาวิทยาลัยจึงตระหนักถึงความสำคัญของการเก็บรักษาเอกสารที่มีคุณค่าเหล่านี้ไว้เพื่อประโยชน์ในการศึกษา จึงได้มีการจัดตั้งหอจดหมายเหตุมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐแห่งแรก
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ มีสถานะเป็น “มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ” แห่งแรกของประเทศไทย มีระบบบริหารงานที่แตกต่างจากระบบราชการ โดยมหาวิทยาลัยสามารถกำหนดระบบบริหารงานบุคคล การเงิน บริหารวิชาการ และการจัดการทั่วไปได้ตามความเหมาะสมกับลักษณะและภารกิจของมหาวิทยาลัย ทั้งนี้เพื่อให้มหาวิทยาลัยสามารถดำเนินกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจัดการศึกษาที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน เป็นมหาวิทยาลัยเฉพาะทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มุ่งจัดการเรียนการสอน การวิจัย การบริการวิชาการ และผลิตบุคลากรขั้นสูงทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศ

Life@SUT
Life Skill ทักษะการปรับตัวที่ดี ซึ่งช่วยให้รับมือกับความจำเป็นหรือความต้องการและปัญหาชีวิตของตนเอง
Learning การเรียนรู้สิ่งใหม่อย่างแท้จริง ต้องรู้จักการตั้งเป้าหมายที่ดีในการเรียนรู้ รวมไปถึงการสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
Landmark สถานที่ที่เป็นสัญญลักษณ์ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ที่เมื่อมาแล้วต้องไปถ่ายรูปให้ได้ ไม่งั้นถือว่า ไปไม่ถึง
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5 รัฐบาลมีนโยบายกระจายโอกาสทางการศึกษาระดับอุดมศึกษาไปสู่ภูมิภาคและชนบทให้มากยิ่งขึ้น ใน พ.ศ. 2527 ทบวงมหาวิทยาลัยเสนอให้รัฐบาลจัดตั้งมหาวิทยาลัยใหม่ในส่วนภูมิภาค 5 แห่ง ได้แก่ ภาคเหนือ 1 แห่ง ภาคใต้ 1 แห่ง ภาคตะวันออก 1 แห่ง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 แห่งที่จังหวัดนครราชสีมาและอุบลราชธานี ซึ่งการตั้งมหาวิทยาลัยในจังหวัดนครราชสีมาในระยะแรกนั้น รัฐบาลกำหนดให้จัดตั้งเป็นวิทยาลัยในสังกัดมหาวิทยาลัยขอนแก่น ใช้ชื่อว่า “ วิทยาลัยสุรนารี” และได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ใช้พื้นที่ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยบ้านยาง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ประมาณ 7,000 ไร่ เป็นที่ตั้ง
พ.ศ. 2531 คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้จัดตั้งวิทยาลัยสุรนารี สังกัดมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่จังหวัดนครราชสีมา และยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัย ในพ.ศ. 2532 คณะกรรมการจัดตั้งมหาวิทยาลัยสุรนารี โดยมีปลัดทบวงมหาวิทยาลัย (ศาสตราจารย์ ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน) เป็นประธาน จัดทำโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีและร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เสนอต่อรัฐบาล และเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี พ.ศ. 2533 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ฉบับพิเศษ) วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีจึงได้ถือเอาวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธย เป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัย
ในช่วงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2533 – พฤษภาคม พ.ศ. 2536 มหาวิทยาลัยได้พัฒนาที่ทำการโดยจัดจ้างออกแบบก่อสร้างอาคารและระบบสาธารณูปโภค และจัดให้มีพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารที่ทำการมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ณ อาคารบรรณสาร เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2533 และเริ่มรับนักศึกษารุ่นแรกในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2536
ข่าวประชาสัมพันธ์
ขอแสดงความเสียใจและอาลัยยิ่ง
ขอแสดงความเสียใจและอาลัยยิ่งต่อการถึงแก่อนิจกรรมของศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ประสาท สืบค้า อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี 3 สมัย ตั้งแต่ พ.ศ. 2548-2560 ศาสตราจารย์ ดร.ประสาท สืบค้า อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) 3 วาระ รวม 12 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2548 – 2560 ตลอดระยะเวลา 12 ปีในตำแหน่งอธิการบดี ท่านเป็นผู้นำและมุ่งมั่นพัฒนา มทส. สู่ความเป็นเลิศในทุกภารกิจ ผลิตบัณฑิตนักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้มีภูมิรู้ ภูมิธรรม ภูมิปัญญา ภูมิฐาน และภูมิใจ รวมทั้งธำรงไว้ซึ่งความเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการสร้างสรรค์นวัตกรรม เป็นผู้ขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยให้ก้าวสู่ความเป็นเลิศทั้งด้านวิชาการ การวิจัย และการบริการวิชาการ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน โดยยึดหลัก “ปัญหาของสังคมคือโจทย์วิจัยของมหาวิทยาลัย” ด้วยนโยบาย “จากหิ้งลงสู่ห้าง” นำผลงานวิจัยไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ เชิงอุตสาหกรรม หรือสร้างประโยชน์สู่สังคมในวงกว้าง และตอบโจทย์ความต้องการของชุมชนได้จริง พร้อมยืนหยัดเป็น “สถาบันคู่เคียงและเป็นที่พึ่งของสังคม” ด้วยวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกลและความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ ภายใต้การนำของท่าน มทส. เติบโตอย่างรวดเร็วและมั่นคง ทำให้มหาวิทยาลัยมีความเจริญรุดหน้าในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี และผลักดันจน มทส. ก้าวขึ้นเป็น “1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ” เป็นมหาวิทยาลัยดีเลิศด้านการวิจัย และดีเยี่ยมด้านการเรียนการสอน และได้รับความเชื่อมั่นในฐานะ “มหาวิทยาลัยแห่งนวัตกรรม” ที่เป็นที่พึ่งของสังคม นับเป็นผู้ “ผู้จุดประกาย ขยายความคิด พิชิตการเปลี่ยนแปลง สำแดงสัมฤทธิผล” ให้กับ มทส. อย่างแท้จริง ตลอดชีวิตการทำงาน ท่านดำรงตำแหน่งสำคัญระดับชาติและนานาชาติจำนวนมาก นอกเหนือจากดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี 3 วาระแล้ว ท่านยังดำรงตำแหน่งบริหารสำคัญหลายตำแหน่ง อาทิ รองอธิการบดี รวม 4 ฝ่าย ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (วิชาการ วางแผน บริหาร พัฒนา) คณบดีสำนักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี คณบดีสำนักวิชาแพทยศาสตร์ (รักษาการ) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ประธานที่ประชุมสภาคณบดีวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย (สควทท) ประธานคณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ (ทุนเรียนดีวิทยาศาสตร์) ประธานคณะกรรมการดำเนินการจัดตั้งสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ประธานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ (ทอมก)
แนะนำหอประวัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
หอประวัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ตั้งอยู่ชั้น 2 อาคารบรรณสาร โดยเริ่มดำเนินการก่อสร้างพร้อมกับการก่อสร้างอาคารบรรณสารหลังใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2551 และทำพิธีเปิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดแสดงประวัติ พัฒนาการ และเป็นแหล่งรวบรวมเอกสาร สิ่งของ หลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการก่อตั้งและการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีในรูปแบบของการจัดแสดงนิทรรศการถาวรและนิทรรศการหมุนเวียน เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ให้แก่นักศึกษา บุคลากรของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีและประชาชนทั่วไป



























